วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

เลือกสนามสอบ GAT-PAT ครั้งที่2



การสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 2 สอบเดือนกรกฎาคม 2552

ผู้สมัครสอบ GAT/PAT ทุกคนต้องลงทะเบียนไหม่ เพื่อขอชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ในการเลือกสนามสอบและการสมัครสอบเพิ่ม
ผู้สมัครสอบที่เคยสมัครและชำระเงินแล้ว และ /หรือ ต้องการสมัครเพิ่มวิชาสอบ มีกำหนดเลือกสนามสอบ ดังนี้ ต้องการลงทะเบียน

วันที่รายชื่อจังหวัดที่เปิดให้เลือกสนามสอบ

20 - 21 เมษายน 2552
กรุงเทพมหานคร,สมุทรปราการ,นนทบุรี,ปทุมธานี

22 - 23 เมษายน 2552
พระนครศรีอยุธยา,อ่างทอง,ลพบุรี,สิงห์บุรี,ชัยนาท,นครนายก,สระบุรี,นครสวรรค์,อุทัยธานี,กำแพงเพชร,สุโขทัย,พิษณุโลก,พิจิตร,เพชรบูรณ์,สุพรรณบุรี,นครปฐม
,สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม

24 - 25 เมษายน 2552
ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี,ตราด,ฉะเชิงเทรา,ปราจีนบุรี,สระแก้ว,ตาก,ราชบุรี,กาญจนบุรี,เพชรบุรี,ประจวบคีรีขันธ์

26 - 27 เมษายน 2552

นครราชสีมา,บุรีรัมย์,สุรินทร์,ศรีสะเกษ,อุบลราชธานี,ยโสธร,ชัยภูมิ,อำนาจเจริญ,หนองบัวลำภู,ขอนแก่น,อุดรธานี,เลย,หนองคาย,มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด,กาฬสินธุ์,สกลนคร,นครพนม, มุกดาหาร

28 - 29 เมษายน 2552
นครศรีธรรมราช,กระบี่,พังงา,ภูเก็ต,สุราษฎร์ธานี,ระนอง,ชุมพร,สงขลา,สตูล,ตรัง,พัทลุง,ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส

30 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2552
เชียงใหม่,ลำพูน,ลำปาง,อุตรดิตถ์,แพร่,น่าน,พะเยา,เชียงราย, แม่ฮ่องสอน

2 - 12 พฤษภาคม 2552
เปิดให้เลือกสนามสอบทุกจังหวัด
หมายเหตุ : หลังจากวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 ผู้สมัครที่ไม่เข้ามาเลือกสนามสอบ สทศ.จะจัดสนามสอบให้ตามความเหมาะสม

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

VISITE DE RAMA YADE EN THAÏLANDE (12 - 14 MARS)

VISITE DE RAMA YADE EN THAÏLANDE (12 - 14 MARS)
นางรามา ยาดเดินทางเยือนประเทศไทย (12-14 มีนาคม 2552)






La visite en Thaïlande de la Secrétaire d’Etat chargée des Affaires étrangères et des droits de l’Homme, Mme Rama Yade, du 12 au 14 mars visait à renforcer nos relations bilatérales avec ce pays, l’un des principaux partenaires de la France en Asie du Sud-est, qui assure en cette année 2009 la présidence de l’ASEAN.
นางรามา ยาด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและสิทธิมนุษยชน เดินทางมาเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม พ.ศ.2552 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฝรั่งเศสและไทย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นหุ้นส่วนสำคัญของฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นประธานของกลุ่มประเทศอาเซียนช่วงปีพ.ศ.2552


La secrétaire d’Etat s’est entretenue avec le ministre des Affaires étrangères, M. Kasit Piromya, afin d’évoquer les questions bilatérales aussi bien économiques, politiques que culturelles ainsi que les enjeux régionaux, en particulier la situation en Birmanie. Mme Rama Yade a également rencontré des personnalités thaïlandaises engagées dans la défense des droits de l’Homme.
นางรามา ยาดได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เพื่อเจรจาเรื่องความร่วมมือทวิภาคี งานด้านเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม รวมถึงเรื่องงานในระดับภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ในประเทศพม่า และยังได้พบปะกับตัวแทนขององค์กรต่างๆ ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน


Au cours de son déplacement, la secrétaire d’Etat s’est rendue, à Bangkok, au centre d’accueil de victimes de trafics d’êtres humains de Baan Kredtrakarn, qui offre protection aux enfants et aux femmes de toutes nationalités victimes de travail forcé, d’exploitation sexuelle et de mendicité forcée. Elle s’est également rendue à Chiang Mai, dans un hôpital spécialisé dans le traitement du sida où l’Institut français de Recherche pour le Développement mène un projet sur la transmission du virus de la mère à l’enfant.
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสได้เข้าเยี่ยมชมบ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพฯ ซึ่งคุ้มครองและพัฒนาอาชีพแก่เด็ก และสตรีที่เป็นเหยื่อแรงงาน ทางเพศและถูกบังคับให้ขอทาน นางรามา ยาดยังได้เยี่ยมชมโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหน่วยงานวิจัยเพื่อการพัฒนาของฝรั่งเศสแห่งหนึ่งใช้เป็นสถานที่ดำเนินโครงการเกี่ยวกับการติดต่อของไวรัสโรคเอดส์จากมารดาสู่ทารก


La secrétaire d’Etat s’est enfin renue au camp de Ban Mai Nai Soi, au Nord de la Thaïlande, où vivent près de 20 000 réfugiés birmans. L’objectif était de renforcer la coopération entre le gouvernement thaïlandais et les principaux donateurs d’aide en faveur des réfugiés, parmi lesquels l’Union européenne.
นอกจากนี้แล้ว ยังได้เดินทางไปที่ศูนย์อพยพบ้านใหม่ในสอย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีผู้อพยพชาวพม่าประมาณ 20,000 คน มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและผู้สนับสนุนทางด้านการเงินแก่โครงการนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสหภาพยุโรป

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

Nick Vujicic



"No arms, No legs, No worries"


An amazing story of faith in adversity. If Nick's story doesn't convince us about God's love & His power & what faith can do, then nothing else will.
เรื่องเล่าอันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะอันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว
My name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!
ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!
I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth "defect". As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles.
ผมเกิดมาโดยที่ไม่มีแขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย


"Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds."
"คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"


....To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
...ให้ถือว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี
However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was "Praise God!".
อย่างไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"
Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.
ลูกชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ
The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, "if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?" My Dad thought I wouldn't survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.
คนทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง
Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I'd be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school.
พ่อแม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้
The law in Australia didn't allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school.
กฎหมายในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่องทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมายเพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับหน้า

I liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times.
ผมชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความท้าทายนั้น
I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn't go to school just so I didn't have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends.
ผมรู้ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่
There were times when I felt depressed and angry because I couldn't change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn't understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I'm the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it'd be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength.
มีบางเวลาที่ผมรู้สึกหดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและพระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผมรู้สึกดีและเข้มแข็ง
Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing.
เนื่องจากการต้องดิ้นรนในด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็นพระพร
To encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams. One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.
เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง
"And we know that in all things God works for the best for those who love Him." That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these "bad" things happen in our life.
"และเรารู้ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
I had complete peace knowing that God won't let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.Jesus said that the reason the man was born blind was "so that the works of God may be revealed through Him." I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it's God's will, it'll happen in His time. If it's not God's will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can't be used.
ผมได้พบกับความสงบอย่างสมบูรณ์ในการได้รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิดมาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่มี
I am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today's teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.
ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผมและเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย
I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow.
ผมมีความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม
I have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God's Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the "Oprah Winfrey Show"! Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called "No Arms, No Legs, No Worries!"
ผมมีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระเจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่องราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"! การได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"
I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it's God's will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What's worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a "box". The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can't do anything without Him. Once we make ourselves available for God's work, guess whose capabilities we rely on? God's!
ผมเชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง" สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือการที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง
ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น ไปอ่านสเปซของเขาได้ที่